hawker

hawker

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

ไ ป ห ลี เ ป๊ ะ . . .ย า ก ไ ม๊ ?

          ทะเลไทย ไม่ไปไม่รู้จริง ๆ หลีเป๊ะเป็นเกาะเล็ก ๆ ในอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล สุดปลายด้ามขวานของไทยเราเลยแหละ แค่คิดเรื่องเดือนทางไปให้ถึงก็อดที่จะหนาวไม่ได้ ดีที่เดี๋ยวนี้มีเครื่องบินให้นั่งไปลงหาดใหญ่ ในราคาน่าคบแต่เที่ยวนี้ขอไปรถไฟนะ ไม่ใช่ว่าจะสโลไลฟ์ตามสมัยนิยมอะไรหรอก แค่ยังไม่เคยขึ้นรถไฟโดยสารชั้น 1 เลย เคยนั่งแต่ชั้น 2 ก็เลยอยากสัมผัสบรรยากาศซักกะหน่อยว่าแล้วก็เริ่มกันเลยเนอะ


        ทริปนี้เป็นการเที่ยวแบบมีการวางแผนพอสมควร โดยเริ่มจากการจองตั๋วรถไฟก่อนเลยเพราะรถโดยสารชั้น 1 มีที่ค่อนข้างน้อย และทางการรถไฟให้จองล่วงหน้าได้ไม่เกิน 60 วัน นับวันรอกันเลยครับ ขนาดจองวันแรกที่เริ่มนับ 60 วันตอน 8.30 น. (เริ่มเปิดจอง 8.00 น.) ที่นั่งยังเหลือแค่ 8 ที่เองเกือบไม่ทัน จองทางโทรศัพท์ก่อนแล้วค่อยไปรับตั๋วที่สถานนีไหนก็ได้นะ พร้อมชำระเงินแล้วก็นอนกอดตั๋วไว้ได้เลย (ส่วนเที่ยวกลับเรากลับเครื่อง) โดยแจ้งว่าจะมาขึ้นรถที่สถานีบางซื่อ (แต่สาวเจ้าไหงไม่ซื่อเหมือนชื่อบาง..ขำ ๆ อย่าว่ากันนะนึกได้พอดีขอเล่นหน่อย) โดยพึ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มี 2 สถานีเกือบลงผิดไปแล้ว ดีว่าแท็กซี่ที่นั่งมาถามก่อนไม่งั้นมีเดินกันขาขวิดแน่


          กันเหนี่ยวด้วยการมาก่อนเวลาซักหน่อย เช็คเที่ยวรถที่เราจะขึ้นว่ามากี่โมง ตรงกันไม๊?




          สถานีนี้มี 2 ชานชาลาตื่นเต้นจัง! ถามเจ้าหน้าที่บอกโบกี้ที่เรานั่งเป็นขบวนสุดท้ายรออยู่แถวหน้าสถานีนี่แหละ อย่าไปไหนไกลนะส่วนชานชาลาไหนเดี๋ยวใกล้ ๆ แล้วถึงจะแจ้งอีกที


          ป้ายพร้อม นี่คือเที่ยวที่เรานั่งไปด้วยเหตุผลที่ว่ารถด่วนพิเศษจะหยุดแวะจอดน้อยสถานีที่สุด แต่เราลงที่หาดใหญ่ ตามตารางเวลาเราจะถึงราว ๆ 6.30 น. ไหน ๆ ก็มาถึงก่อนเวลา ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้ทาน รออะไรละคร๊าบ หาอะไรกินดีกว่า


เห็นตู้โทรศพท์แล้วอดคิดไม่ได้ว่ายังมีคนใช้อยู่อีกหรือเปล่า?


จัดก่อนเลย ข้าวผัดหมู


ตามด้วย กระเพราหมูไข่ดาว ง่าย ๆ แต่อร่อย


อะ ๆ ไม่ทันไร รถไฟของเรามาแล้ววววว


ปล่อยเค้าไป ปล่อยเค้า เดี๋ยวโบกี้เราก็มาจอดตรงหน้า . . . . แต่ในความเป็นจริงมันจอดก่อนตั้ง 3 โบกี้ มีกึ่งเดิน กึ่งวิ่ง กันเลยทีเดียว


          ดูเหมือนทางเดินจะแคบ แต่ก็พอเดินได้ไม่ลำบาก แต่ห้ามเดินสวนกันนะจะลำบากเลยแหละ รีบเอากระเป๋าไปเก็บก่อนดีกว่า ตู้โดยสารชั้น 1 แบ่งเป็นห้อง ๆ ละ 2 ที่นั่งแบ่งเป็นเตียงบน กับเตียงล่าง ในห้องมรอ่างล้างหน้าในตัวถ้ามากันเป็นครอบครัว หรือเป็นกลุ่มสามารถเปิดผนังด้านข้างให้ทะลุถึงกันได้ มีน้ำดื่มให้ 2 ขวด ห้องที่เราเลือกเป็นห้องที่มีปลั๊กไฟ ตอนแรกกะว่าจะเอาโน๊ตบุ๊คมาเสียบทำเท่นั่งชิวริมหน้าต่างอะไรประมาณนั้น แต่สรุปนั่งเล่น นอนเล่นดีกว่าเดี๋ยวก็ถึง



          ถ้ายังไม่กางเป็นเตียงนี่ถือว่านั่งไม่ค่อยสบายนัก เบาะค่อนข้างแคบ แต่มันได้ยาวและแน่นอนว่าไปชั้น 1 แบบนี้ยังไง ๆ ก็ต้องไปกับคนรู้จักเท่านั้นน่าจะสะดวกที่สุด นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าไม่รู้จักกันเลยจะอยู่กันยังไง เก็บข้าวของเรียบร้อย นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนจริง ๆ แล้วไม่เหนื่อยหรอกแต่อากาศร้อนมาก ๆ ร้อนจนเสื้อเปียกเลยแหละ รอทำไมก็ถอดเสื้อเลยซิครับ เอ๊ะ! หรืออาบน้ำมันซะเลย ไปดูห้องน้ำกันก่อนดีกว่า


          ว้าวววววว.....สะอาดใช้ได้เลยแฮะ มีเครื่องทำน้ำร้อนด้วย แจ๋ว ๆ แต่ไหงฝักบัวดูเก่า ๆ อ้าวมีรอยแตกด้วย ลองเปิดน้ำดูหน่อยดีกว่า . . . . . . . . . . . . . .  .  .  .  .  .    .    .    .    .    . เฮ้อ! ในที่สุดมันก็ต้องมีไม่ดีบ้างซิน่า น้ำไหลเป็นเยี่ยวลูกแมวเลย อาบน้ำนี่ไม่ต้องคิด เอาเป็นว่าแค่พอล้างเนื้อ ล้างตัวให้รอดก่อนดีกว่า เฮ้อ! (อีกครั้ง) แต่ชักโครกโอเคเลย อืมอีกเรื่อง กลิ่น ใช้ได้เลยหมายถึงมีกลิ่นใช้ได้เลย อะ อะ มีอีกห้องนี่เผื่อมีอนาคต


          ห้องนี่น่าจะใช้ทำธุระอย่างเดียว ดูจากโถคงเป็นรถญี่ปุ่นแน่ ๆ โดยรวม สะอาดน่าใช้ที่สำคัญไม่มีกลิ่นเหมือนห้องแรก แต่ไม่ได้ใช้ห้องนี้ ยอมรับกำลังขาไม่ดี แข้งขามันแย่ลงตามขนาดพุงที่เพิ่มขึ้นยังไงไม่รู้


ไปก่อนนะ กรุงเทพไว้เจอกัน ตู้เราเป็นตู้สุดท้ายพอดีเลย


          สิ่งสำคัญในการเลือกนั่งรถไฟชั้น 1 ไม่ใช่เรื่องของราคาเพราะเที่ยวนี้ถ้าจำไม่ผิด เตียงล่างน่าจะ 1,500 ส่วนเตียงบนน่าจะ 1,200 กว่า ๆ ลืมจำ สรุปมันแพงกว่านั่งเครื่องแบบจองล่วงหน้าอีก และการเดินทางด้วยรถไฟนั้นช้าที่สุดในระบบคมนาคม (เฉพาะในบ้านเรานะเพราะเราไม่มีรถไฟความเร็วสูง) แต่มันเป็นเรื่องของบรรยากาศ ชอบเป็นการส่วนตัวมั้ง ปรกติจะนั่งแค่ชั้น 2 ปรับอากาศก็ชอบแล้วนะ แต่ชั้น 1 นี่คือแบบว่าฝันไว้ ฉะนั้นถ้ามีโอกาศอย่าลืมตามฝันกันบ้างหล่ะ
          และอีกเรื่องของการนั่งรถไฟนั้นก็คือ ตู้เสบียง คันนี้นี่เอง (ทำเสียงแบบรายการญี่ปุ่นจะได้อารมณ์มาก) . . . . จริง ๆ แล้วไม่ได้นั่งรถไปมาเป็น 10 ปีแล้วแหละ สมัยก่อนแบบว่าชิวมากเก็บของเสร็จนั่งพักซักนิด ค่อย ๆ เดินมาตู้เสบียง สั่งอาหารเบา ๆ แกล้มเบียร์ซัก 2-3 ขวด มึนแอ๋ ๆ ได้ที่เดินกลับไปที่โบกี้เจ้าหน้าที่ปูเตียงให้เสร็จแล้ว ก็นอนยาวเลย สุขจริง ๆ แต่ตอนนี้ตู้เสบียงเปลี่ยนไป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ต้องพูดถึงไม่มีขาย และห้ามนำขึ้นมาดื่มบนรถนะครับ ไม่ตำรวจรถไฟเดินตรวจเป็นระยะ ๆ นะครับ ของเรายังมีขอตรวจกระเป๋าเลยคงสุ่มเอา และเราก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ แหมไม่ได้เป็นโจรนะครับเป็นนักท่องเที่ยว เฮ้ย!หลงประเด็นมาไกลเข้าเรื่องตู้เสบียงต่อ ตอนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นบริษัทเอกชนมาทำส่วนของตู้แทนแบบเดิม เมนูอาหารก็เลยเน้นแบบเป็นชุด ตามเมนูที่ถ่ายมาให้ดู แต่ยังคงบริการส่งถึงที่นั่งให้เหมือนเดิม ตอนเช้าเลยได้อุดหนุน กาแฟ กับโอวัลติน ไปอย่างละ 1 แก้ว



บรรยากาศ ฟินว่ะ


พระอาทิตย์กำลังจะลากลับบ้านแล้ว



สั่งไปงั้นแหละลองดู ก่อนหน้านี้พึ่งกินมาข้าวยังไม่เรียงเม็ดเลย ก็เลยให้มันไปเรียงกันต่อ นี่คือ 1 ในหลายชุดในเมนู รสชาดพอใช้ได้แต่ไม่สมราคา แต่สมกับสถานที่


กลับมานั่งเล่นที่ห้องดูพระอาทิตย์เลิกงาน กับโลโก้รถไฟไทย



          และนี่คือพระเอกของเรา คนนี้นี่เอง (จะบ้ารายการญี่ปุ่นอีกนานไม๊เนี้ย) คือเจ้าหน้าที่ประจำโบกี้ ๆ ใครโบกี้มันชำนาญและเชี่ยวชาญมาก จริง ๆ ให้มาปูตั้งแต่ขึ้นมาก็ได้นะ เจ้าหน้าที่จะคอยช่วยเหลือตลอดตั้งแต่ตอนยกกระเป๋าขึ้นรถไฟ หรือแม้แต่ตอนลงเพราะเท่าที่ดูส่วนใหญ่จะมาเป็นครอบครัวแบบมีเด็กเล็กมาด้วย บางห้องนี่ 2-3 คนเลยก็มี
          เช่นเคยผ้าปู ปลอกหมอน ผ้าห่ม ใส่ซองปิดสนิทมีโลโก้ร้านซักผ้าชื่อดัง ชินไฉ่หั้ว มั้งไม่เคยใช้บริการจำไม่แม่น สะอาด หอม น่านอน




แต๋แน๊!! เสร็จเรียบร้อย


          โดยรวม ห้องโดยสารดูเก่า โต๊ะพับตรงหัวเตียงไม่ได้ฉากวางของไม่ค่อยได้ต้องปูผ้าขนหนูช่วย (คงเป็นห้องเราห้องเดียว) ขนาดค่อนข้างเล็กแต่ไม่ถึงกับอึดอัดโดยเฉพาะตอนกางเตียงแล้วกว้างขึ้นเยอะมาก สะอาดไว้ใจได้ ไม่มีกลิ่นให้รำคาญ สรุปไม่ได้อาบน้ำฝักบัวเสีย ให้นั่งอีกก็นั่งถ้าฟรี แต่เสียตังราคานี้คิดว่าแพงไปหน่อย เสียงแต่ละห้องยังลอดถึงกันได้คุยเบา ๆ หน่อยแล้วกัน ความสบายในการนอนก็แบบรถไฟ ฉึกฉัก ๆ แต่เตียงกว้างกว่าของชั้น 2 แบบรู้สึกได้ (ความเห็นคนน้ำหนักเกือบร้อย) และที่สำคัญของแถมสำหรับคนนั่งรถไฟเที่ยวนี้ขบวนนี้แถมเวลาให้เราชั่วโมงหน่อย ๆ


เช้าแล้ว ล้างหน้าแปรงฟันก่อน 


ถ้ามองนาฬิกาเห็นนั้นคือเวลาที่รถไฟแถมให้เราไม่ได้เท่ากันทุกขบวนนะ


          ถึงหาดใหญ่แล้ว นั่งรถกะป๋อ (เรียกงี้หรือเปล่า) ไปหารถตู้ต่อตามโพยที่อ่าน ๆ มาก็คิวรถตู้เกษตร ต้องทำเวลาหน่อยกลัวไปไม่ทันขึ้นเรือ แหมว่าจะหาไก่ทอดหาดใหญ่ชิมซะหน่อย แล้วกะจะต่อด้วยแต๋เตี่ยมเป็นมื้อเช้า แต่ตอนนี้ตรูจะทันไม๊เนี้ยยยย?


ถนนโล่งเชียวอย่างนี้น่าจะพอทัน ไว้ขากลับค่อยมาตะลุยหาดใหญ่อีกที



ถึงแล้ว! ใช้เวลาประมาณซัก 15 นาทีไม่เกินจ่ายไป 150 บาทนั่งมากัน 2 คน แพงไม๊? ถ้าเทียบกับแท็กซี่กรุงเทพ แพง แต่ถ้าคิดว่ามาเที่ยวกระจายรายได้ให้ท้องถิ่น...รับได้



ซื้อตั๋วตรงนี้เลย คนละ 110 บาท


ตามป้ายเลยหาดใหญ่-ปากบารา


คันนี้รถเรา ออก 9.00 ตรงเรามาถึงประมาณ 8.35 ที่นั่งยังว่างเยอะ


แต่. . . ทำไมพี่คนขับไม่เรียกผมขึ้นไปรอบนรถหล่ะครับ ให้ผมยืนเอ่อ ๆ เป็นหมูหลงคอกจนต้องมานั่งหลังเลย ผมอ้วนนะ ผมอึดอัด 


          นั่งรถมาแบบกึ่งหลับ กึ่งตื่น รอพี่โชเฟอร์รับของ ส่งของ ตามรายทาง 2-3 แห่ง ส่งคนที่ไม่ได้มาท่าเรือโดยตรงอีก 3-4 แห่ง รวมใช้เวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมงนิด ๆ ดูเวลา 11 โมงแล้วซิ เฮ้อ! ในที่สุดก็พลาดเรือสปีดโบ๊ตที่ก่อนจะส่งเราขึ้นเกาะหลีเป๊ะเค้าจะแถมพาแวะเกาะตะรุเตา และเกาะไข่ เพราะตามที่อ่าน ๆ จำ ๆ มามันมีแค่เที่ยว 10.30 เท่านั้น อืม...ทำใจอยากนั่งรถไฟมาเองนี่ จะมีใครบังคับก็หาไม่
          ลืมเล่า...ทริปนี้เราจองที่พักมาจากงานไทยเที่ยวไทย ในราคาประมาณ 5,000 กว่าบาทต่อคนรวมที่พักอาหารของ ภูริตา รีสอร์ท  3 วัน 2 คืน และได้คูปองพักฟรีพร้อมแพคเกจของ บ้านเพียงพอ ซึ่งอยู่ในเครือ ภูริตา รีสอร์ท  ค่าเรือเลยไม่เสีย



รถตู้จะมาจอดตรงนี้ก็ไม่ได้เนอะ ให้เดินตั้งไกล


          หลังจากแวะไปหน้าท่าเรือแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ติดต่อทางรีสอร์ทประสานงานกันก็ได้มารับตั๋วที่นี่ครับ สรุปวันนี้คนไปเกาะหลีเป๊ะกันเยอะมาก เรือที่ออกตามคิวตอนนี้มั่วครับ ประมาณว่าใครมาก่อนได้ก่อน จากเรือที่ทางรีสอร์ทจองไว้เป็นรอบของเรือเฟอร์รี่ แต่สปีดโบ๊ดยังมีว่างอยู่
เจ้าหน้าที่ : จะเปลี่ยนไปสปีดโบ๊ดไม๊ค่ะ?
เรา : แล้วเค้าไม่มีแวะเกาะตะรุเตา กับเกาะไข่แล้วเหรอครับ? อยากแวะเดี๋ยวซื้อตั๋วใหม่ก็ได้ครับ
เจ้าหน้าที่ : ลำนี่แวะให้ค่ะ วันนี้คนเยอะมาก มันมั่ว ๆ หน่อย ไปไม๊ค่ะ หรือจะไปเฟอร์รี่ดี
เรา : ครับ
ใช่มะ! จะรออะไรหล่ะ ไอ้ที่คิดว่าจะไม่ได้ ได้ซะงั้นที่สำคัญยังฟรีเหมือนเดิม ฮะ ฮะ ฮ่า


บัตรขึ้นเรือ เกือบ ๆ คนสุดท้ายเลนแหละ


ยังเหลือเวลาอีกหน่อย หาอะไรทานก่อนดีกว่าเดี๋ยวกินยาความดันไม่ทัน ร้านนี้เลยหล่ะกันใกล้หน่อย จะได้แวะซื้อของจุกจิกกับน้ำเปล่าขึ้นไปบนเกาะด้วยเห็นเค้าว่าของบนนั้นแพงมาก


เวลาไปเที่ยวที่สำคัญ อย่าเยอะมีอะไรกินก็กินซะ รสชาดใช่ได้อร่อยเท่าหน้าตาแหละ



อิ่มแล้วก็ไปขึ้นเรือกันเลย ก่อนอื่นจ่ายค่าเข้าท่าเรือก่อน 10 หรือ 20 จำไม่ได้



บรรยากาศภายในท่าเรือ



เข้าคิวรอกันเลย เออ.........รอคิวไหนดีหล่ะ? งง


          มีเจ้าหน้าที่มาบอกให้กองกระเป๋าไว้บริเวณนี้ เฉพาะบัตรสีนั้น สีนี้ อืมสรุปเค้าจัดคิวด้วยสีและหมายเลขของบัตรขึ้นเรือที่ให้มา งั้นที่เห็นยืนหน้าแห้ง ๆ กันก้ไม่มีความหมายรอเค้าเรียกสีและเบอร์ถ้าเป็นของเราก็มุด ๆ เบียด ๆ เข้าไปได้เลย


เรือเรามาแล้ว รอคนขึ้นก่อน


พอถึงคิวเราก็เดินข้ามเรือไปเลย อีก 2 ลำก็ถึง


ฮะ ฮ่า หลีเป๊ะเราจะเจอกันแล้วนะ หึ หึ

          ยังครับยัง ยังไม่จบเพราะชีวิตคือการเดินทาง และความสุขในการท่องเที่ยวมันมีเรื่องเดินทางเข้ามาปนอยู่ด้วยเสมอ แท็กซี่จากบ้านพัก ไปขึ้น รถไฟมุ่งสู่หาดใหญ่ นั่งรถกะป๊อไปคิวรถตู้ สัปหงกบนรถตู้ข้ามจังหวัดมาท่าเรือ และกำลังจะนั่งเรือไปที่หมาย คือเกาะหลีเป๊ะ ซะที กลัวว่ามันจะยาวเกินไปเพราะรูปมันเยอะไปหน่อย ยังไงก็อดทนดู ๆ อ่าน ๆกันหน่อยนะคร๊าบบบ

ตอนต่อ

http://hawkof9.blogspot.com/2016/05/blog-post.html