hawker

hawker

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ซาปา เวียดนาม

       

          ช่วงปลายปีของทุก ๆ ปี มักมีวันหยุดเยอะจนเก็บตังไปเที่ยวกันไม่ทันเลย แต่ทริปนี้จองไว้ตั้งแต่ เดือน เมษายน โน้น แล้วเดินทางเอาเมื่อวันรัฐธรรมนูญ ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน อันนี้ไปกับทัวร์ข้าราชการครู ที่เค้าอยากไปกัน รวมแล้วน่าจะประมาณ 40-50 ชีวิต



          แน่นอนว่านานขนาดนี้ โปรแกรมที่มีให้มา กับโปรแกรมที่แจกตอนเช็คอินไม่เหมือนกันแน่นอน แต่พอเดินทางจริงโปรแกรมก็ยังไม่เหมือนอีกเช่นกัน ฉะนั้นแล้วก็ไปแบบเพลิน ๆ กันไป แม้แต่สายการบินยังไม่ตรงกับโปรแกรมเลย คณะเราเดินทางด้วย เวียดนาม แอร์ไลน์ ก็ไม่เลวทีเดียว จะติก็ตรงแอร์ฯไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่หรือจะติดความเป็นสยามเมืองยิ้มก็ไม่รู้นะ ไม่ชิน ไม่ค่อยได้เดินทางไปต่างประเทศด้วย



      
           หลังจากผ่านพิธี ตม.ทางเวียดนามซึ่งเร็วมากก็มานั่งรอบนรถเพื่อจะเดินทางไป ซาปากันเลย



รอกันนานเลยแหละ เพราะมีลูกทัวร์ 1 คน ทางทัวร์เค้าแจ้งคำนำหน้าผิดออกตั๋วไม่ได้ต้องนั่งเครื่องของ กาตาร์แอร์ไลน์ตามมา เฮอะ ๆ ยาวไป ๆ


ก่อนหน้านี้ที่เรารู้กันคือการไป ซาปา ต้องนั่งรถไฟ แต่เดี๋ยวนี้เค้ามีทางด่วนแล้วนะ แต่จำกัดความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ทางดี วิวแปลกตา


และแน่นอนว่าอากาศเริ่มเย็นตั้งแต่ทันทีที่ลงเครื่องแล้ว กำลังสบาย ๆ ฟ้าปิด นัดรวมตัวตั้งแต่ 9 โมงเช้า เครื่องออกเที่ยง ถึง เวียดนามประมาณ บ่ายสองกว่า ออกจาก ฮานอยเกือบ 4 โมง ให้ทายว่าจะถึง ซาปากี่โมง?



ตอนแรกไกด์บอกตามแผนเราจะแวะทานข้าวที่ ตัวเมือง ลาวไกล แต่เนื่องจากออกมาช้าอยากให้อดทนนิดหนึ่ง ไปทานทีเดียวที่ ซาปาเลย แต่จะแวะให้หาอะไรลองท้องกันก่อนนะครับ จะได้แวะห้องน้ำกันด้วย


ซื้อ ซาลาเปา มา ลูกละ 15 บาทมั้ง? แต่บอกก่อนเลยถ้ามีโอกาศไป อย่าซื้อเลย กินขนมดีกว่า


ถึงซะทีที่พักเรา สิริรวมเวลากว่าจะถึงก็ปาเข้าไปซัก 3 ทุ่มได้ อาหารจัดมารอเต็มที่ อุ่น ๆ ร้อน ๆ ก็ทีเดียว มื้อแรกก็ประทับใจกันแล้ว ชมว่าอร่อนกันไม่ขาดปากเลย หรือเพราะหิวหว่า


อิ่มแล้วก็ลากกระเป๋าเข้าห้องกันตามอัธยาสัย ห้องสวยใช้ได้เลยนะ อืม..ตอนนี้อุณหภูมิ 10 องศา ขออนุญาตไม่เปิดแอร์นะ


ห้องดี อุปกรณ์ครบ เช็คใน อาโกด้าเห็นว่าเป็นเงินไทยแค่ 900 กว่าบาทรวมภาษีก็คงไม่เกิน 1,200 ถือว่าน่าพักมากถ้ามาเองน่าสนใจ เสียแค่นอนคืนแรกหนาวมากเพราะลืมเปิด ฮีตเตอร์ ก็ใครจะไปรู้ว่าแอร์มันเป็นฮีตเตอร์ได้ด้วยหล่ะ เลยนอนไม่ค่อยจะหลับเพราะหนาวมากตอนดึกมี 8 องศาเลยนะ


ห้องที่พักมีระเบียงเป็นวิวเมือง ตอนนี้หมอกลงเยอะมาก ไม่เคยเจอแบบนี้ก็ประทับใจกันทีเดียว ว่าแล้วไปเดินรับลทหนาวกันก่อนนอนดีกว่า



ดึกมากร้านรวงก็เริ่มปิด อากาศก็เย๊นเย็น พรุ้งนี้นอนอีกคืนไว้ค่อยมาสำรวจดีกว่า เห็นบอกว่าจะปิดถนนเป็นถนนคนเดินด้วย


ถ้าไม่อิ่มนะ ไม่มีพลาด


ล๊อบบี้โรงแรมคร๊าบ...เห็นไม๊? มีเตาผิงด้วยนะ


นอนอย่างทรมาน เช้ามาเจอวิวแบบนี้เข้าให้ หมอกเยอะไปไม๊?


หน้าที่พักของเรา เดินเล่นนิดหน่อยก่อนทานข้าวเช้า แต่หมอกเยอะมากแทบมองไม่เห็นอะไรเลย แถมเช้า ๆ รถติดเหมือนกันนะคร๊าบ



ทานข้าวดีกว่า ชาเวียดนามหอมมากขอบอก อาหารไม่ขี้เหล่



ไลน์อาหารไม่มากมาย แต่ก็เพียงพอ เพราะกินไม่ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว แถมตามโปรแกรมวันนี้เดินยาวกินเยอะเดี๋ยวมีปัญหา


วิวจากส่วนห้องอาหารที่เราทานข้าวเช้ากัน ใครเห็นอะไรบ้าง?


ระหว่างเดินไปขึ้นบัสเพื่อพาเราไปเที่ยว พอดีที่พักเราถนนมันเล็กรถใหญ่เข้าไม่สะดวก แต่ก็ไม่ได้เดินไกลอะไร แถมบรรยากาศชวนโรแมนติกทีเดียว เสียแค่มากับทัวร์นี่แหละ ต้องทำเวลา เอ๊า 6-7-8


หมู่บ้านชาวเผ่าม้ง ที่เที่ยวไฮไลท์ เห็นเค้าว่าถ้าหมอกไม่ลงขนาดนี้ จะเห็นวิวที่นาขั้นบันไดอันขึ้นชื่ออย่างสวยงาม แต่วันนี้เราเห็นเท่านี้หลังจากปล่อยให้กรุ๊ปล่วงหน้าไปก่อน เผื่อรอให้หมอกจาง แต่มันก็จางแค่นี้เอง..เฮ้อ



คือแบบว่า ไม่เคยเห็นหลังคาไม็เลยสนใจเป็นพิเศษนิดนึง


คิดซิคิด ถ้าเค้าไม่ทำทางให้เดินแบบนี้ จะเป็นยังไง


บ้านดิน กับ หมาหนาว(มาก)


บ้านนี้ของหมอผี ประจำเผ่า ที่รู้เพราะเค้าเขียนป้ายไว้



หมอกไป ๆ มา ๆ


ขายกันแบบนี้ตลอดทางเป็นช่วง ๆ


มีฝรั่งเอากำไลไปให้แม่เด็กบอกให้เด็กน้อยใส่ ได้โอกาศก็เก็บภาพตามเค้าเลย


อันนี้น่าจะเป็นก๊อกน้ำประจำหมู่บ้าน เห็นถ่ายกันเป็นกลุ่มเลยตอนรอให้น้ำเต็ม อะ อะ เดี๋ยวเค้าหาว่าไม่ได้มา


เป้าหมายเรา น้ำตก กัีต กั๊ต


ข้างล่างเป็นฝายน้ำล้นเค้าว่ามันครึ่งทางหล่ะ แต่โดยส่วนตัวแล้วน่าจะเดินมาค่อนทางแล้วแหละ แต่เป็นเดินลงเขาไง เดี๋ยวขากลับเดินขึ้นเขา กว่าจะถึงจุดนี้มีเกือบชั่วโมงเหมือนกัน ทางเดินไม่ลำบากมากนัก แต่ถ้ามีปัญหาเกี๋ยวกับข้อ ผู้สูงอายุ หรือร่างกานไม่พร้อม ไม่น่าเดิน เพราะที่เราอยู่นี่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ความกดอากาศสูงทีเดียวทำให้หายใจลำบาก เหนื่อยเร็วกว่าที่คิดเยอะ ไอ้ที่หนาว ๆ พอมาถึงจุดนี้แทบจะถอดเสื้อหนาวกันทั้งขณะ ส่วนข้าพเจ้าถอดก่อนมาถึงจุดนี้นานนนนนนแล้ว


ตอนแรกนึกว่าเป็นน้ำตก กั๊ต กั๊ต แต่ยังไม่ใช่


อันนี้แหละใข่


น้ำกระจายเลอะเลนท์เลย


สักวันถ้ามากันเยอะ ๆ สะพานพังแน่ ยืนถ่ายกันให้ตรึม ไม่ได้มีคนไทยไปแค่ขณะเราขณะเดียวนะ นึกว่าเที่ยวเมืองไทยเลยหล่ะ


ทางเดินกลับ วิวดี ขาเมื่อยจนเริ่มชิน เหงื่อซึม ๆ พอให้ชื้น ๆ ความจริงแล้วหมู่บ้านนี้ไม่ไกลจากที่เราพักมากนัก นั่งรถมาไม่น่าจะเกิน 15 นาที ฉะนั้นกลับไปเติมพลังกันก่อนดีกว่า


มือที่ 3 อร่อยอีกแล้ว เอ๊ะ..เหนื่อยมาอีกแล้วนี่


ชาบู..สุกี้..ลืมถามว่าเวียดนามเค้าเรียกอะไร


จุดต่อมาเรามาที่น้ำตก ซิลเวอร์ ข้อดีคือน้ำตกสามารถมองเห็นได้จากริมถนนเลย ข้อเสียคือเมื่อกี้ยังไม่หายเหนื่อยเท่าไหร่เลย ต้องขึ้นไปบนสะพานกลางน้ำตกนั้นอีก แต่เค้าไม่บังคับนะแล้วแต่ใครจะกิเลสมาก กิเลสน้อย เฮ้อ...200 เมตรแต่ชันมั๊กมาก


มุมนี้มองจากตรงสะพานที่เห็นเลย ขึ้นทางนึง ลงอีกทางนึง ตอนเดินข้ามสะพานแอบขาสั้น นิด ๆ ถ้ากลัวความสูงมากไม่แนะนำ สรุปน้ำตกงั้น ๆ วิวที่มองจากน้ำตกน่าดูกว่า อ้าวเฮ้ยต้องรีบลงนี่เค้าเรียกแล้ว


จุดหมายต่อมา และเป็นจุดสุดท้ายของวันนี้ (ไชโย ๆ) ภูเขามังกร ภูเขาปากมังกร @#$#@ จำไม่ได้หล่ะะ
แต่ก่อนจะเดินขึ้น มีการรวมตัวกันถ่ายรูปหมู่กันแถว ๆ ทางขึ้นซึ่งก็อยู่ไม่ห่างจากที่พักเท่าไหร่ ไกด์บอกว่าถ้าไม่อยากขึ้นก็ได้ เพราะทางค่อนข้างชัน ให้เดินกลับที่พักเพื่อพักผ่อนได้เลย แล้วเจอกันตอนอาหารเย็น แล้วกรุ๊ปเราก็เป็นกรุ๊ป สว. ซะด้วย ดูกถูกกันเกินไปแล้วแบบนี้ เดี๋ยวหาว่าคนไทยไม่แจ๋ว หลังจากซางเสียงกันเรียบร้อย ตัดคนที่มีปัญหาที่ ที่เหนื่อย ที่อายุค่อนข้างมาก ทีมเราพร้อมแล้วที่จะพิชิตเขาเล็ก ๆ ที่มีทางเดินประมาณแค่กิโลเดียว ทั้งหมด ประมาณ 14 คนจาก 50-60 คน (อายดีไม๊อ่ะ?)


บนเขานี้แบ่งจุดชมวิวเป็น 23 จุด ๆ สูงสุดสามารถเห็นวิว ซาปา ได้ทั้งเมืองเป็นไฮไลท์ของที่นี้เลย คือยิ่งถ้าชอบถ่ายรูป พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง และที่ชั้น 6 จะเป็นสวนดอกไม้ที่มีการเอาดอกไม้มาเรียงเป็นคำว่า ซาปา ด้วย 





เดินมาเหนื่อย ๆ พักดื่มชา กับอาหารปิ้งย่างได้นะ ที่บริเวณจุดที่ 6 ลืมถ่ายป้ายดอกไม้มาแฮะ และจากการคำนวณอันชาญฉลาด ที่ว่าวันนี้เป็นวันที่หมอกเยอะมาก ประกอบกับทะเลสาบของซาปาถูกดูดน้ำจนแห้งเพื่อการก่อสร้างบางอย่าง โอกาศที่จะเห็นวิวสวย ๆ คงเป็นไปได้ยากบลา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ 
....เดินกลับดีกว่า....
สรุปทีมเราขึ้นไปถึงยอดสุด 3 คน หลังจากสัมภาษณ์แล้วทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวเลยว่า ไม่เห็นอะไรเลย หมอกเยอะมาก อุตสาห์รออยู่พักใหญ่ ๆ เผื่อหมอกจะหายซักช่วง ก็ไม่มีเลย ไม่คุ้มกับที่เดินขึ้นมาเลย (อิ อิ อิ. . . .)


รูปนี้ถ่ายตอนก่อนขึ้นภูเขา เป็นที่เราใช้ถ่ายรูปหมู่ ดูเหมือนฟ้าเป็นใจ แต่พอผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ยังถ่ายรูปกันไม่เสร็จเลย มองไม่เห็นโบสถ์แล้วอะ


สภาพนี้ไง มองยังไงก็ไม่ทะลุหมอก



มื้อเย็น ๆ รออยู่ คราวหน้าฉันจะมากินแกให้ได้


และแล้วพี่หมอกก็กลับมาเยือนกันอีกครั้ง


มองจากหน้าต่างห้องพักอีกด้าน


ค่ำนี้ตามที่เค้าบอกจริง ๆ เป็นถนนคนเดิน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรขายแบบถนนคนเดินบ้านเราหรอก ประมาณว่าแค่ไม่ให้รถเข้า เราจะได้เดินสบาย ๆ ประมาณนั้น


หมอกแบบเต็ม ๆ เดินไป โรแมนติกไปซะงั้น


โบสถ์ ค่ำนี้เดินมาดูใกล้ ๆ กันเลย
เดินเล่นชิว ๆ ไปได้ซักพัก แต่อย่างว่าหมดแรงซะแล้ว ได้เวลาพักผ่อนกันดีกว่า


อรุณสวัสยามเช้า วันนี้ฟ้าเปิด


นี่คือวิวตรงที่ทานอาหารเช้า ก่อนหน้านี้หมอกหนาตลอดมองไม่เห็นอะไรเลย แต่วันนี้เปลี่ยนไป



ถนนหนทางดูสดใสขึ้นทีเดียว แต่เช้านี้ต้องเดินทางกลับแล้วซินี่ เฮ้อ...


วันนี้ออกเดินทางกันแต่เช้า ฟ้าอุตสาห์เปิดเสียดายจังเลย



นาขั้นบันได ไกด์บอกถ้ามาซักเดือนกันยา ตอนข้าวกำลังเหลืองจะสวยเชียว


          สรุปการมากับทัวร์ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมาก กินดี อยู่ดี แค่สถานที่ท่องเที่ยวของเค้าเน้นแบบธรรมชาติ ก็เลยต้องพึ่งสองขาของเรามากหน่อย แต่สำหรับเราที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ตอบได้คำเดียวว่าประทับใจมาก อากาศก็ดี เสียดายที่มีเวลาน้อย แล้ววันที่กลับก็ฟ้าเปิดพอดี ไม่ทันได้รู้ว่าแดดที่นี่แรงแค่ไหนก็กลับแล้ว ถ้ามีโอกาศอีกยังไงก็ต้องมา เพราะยังขาดไฮไลท์อีกเพียบ เพียงแต่คราวหน้าขอมาแบบไม่เป็นทัวร์น่าจะดีกว่านะ