hawker

hawker

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

วันที่ 5 เดินบุกชน คลองน้ำใส



          วันนี้เป็นวันที่จะได้อยู่ที่โซลวันสุดท้ายของการเที่นวเพราะพรุ้งนี้เราจะกลับตอนบ่าย แต่ที่เรียกวันสุดท้ายเพราะการเที่วครั้งนี้เป็นการเที่ยวแบบตามใจ คือพรุ้งนี้กะตื่นสาย ๆ (จริง ๆ ก็ออกเที่ยวสายทุกวันแหละ) ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรนอกจากเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับบ้าน ตลอดเวลาที่อยู่ที่โซลมายังไม่มีวันไหนที่อุณหภูมิอากาศไม่ติดลบ โดยเฉพาะวันนี้พิเศษก่อนกลับ -10 องศา แต่เริ่มมีภูมิแล้วไงอยู่มาหลายวันแล้ว แต่วันนี้หนาวสุดเลยน้ำมูกไหลส่งท้ายกันไป เล่นเอาไข้เกือบขึ้น ดีที่ว่าเราได้ที่พักแบบ อนดน เวลานอนแผ่กับพื้นมันอุ่นมากช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ดีมั๊กมาก วันนี้ไม่ต้องคิดถึงโปรแกรมอะไรแล้วตามแผนไปต้องสกีรีสอร์ต อากาศขนาดนี้ขืนไปคงตายแน่ เรามาเริ่มเก็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ขาดกันดีกว่า ที่แรกเลยคือหมู่บ้านที่มีบ้านแบบฮานอก (บ้านโบราณเกาหลี) ที่ทางเค้าอนุรักษ์ไว้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีร้านค้าน่ารัก ๆ พอสมควร ขึ้นรถไฟสถานีที่ใกล้ที่พักเราไปแค่สถานนีเดียว ไปดูกัน


เราเดินเข้าจากปากซอยด้วยความไม่รู้ เอาน่าเดินเล่นเย็น ๆ
วันที่ 3 หิมะตก ต้องไปกินปู


 หลังจากนี้ดูภาพเอาเป็นบรรยากาศก็แล้วกัน บรรยายไม่ถูกความรู้ไม่ค่อยมี แต่บ้านทั้งหมดเป็นบ้านที่มีคนอยู่อาศัยจริง และยังอยู่ด้วยฉะนั้นก็เดินกันด้วยความสัมรวมนิดนึง เกรงใจเค้าหน่อย



  











          พื้นี่ทั้งหมดเหมือนสร้างอยู่บนเนินเขา ทางลาดเอียงตลอดแรก ๆ ก็ขึ้นอย่างเดียว หลัง ๆ ก็มีขึ้น ๆ ลง ๆ จริง ๆ ถ้ามีเวลาในแผนที่ ที่ใช้แจกนักท่องเที่ยวจะมีระบุจุดสำคัญ ๆ ให้เดินตามหากันด้วยประมาณว่าไปแล้วถ่ายให้เหมือนภาพตัวอย่างถือว่าสำเร็จภารกิจ แต่วันนี้หนาวมากจริง ๆ เดินไปเดินมาแป๊บเดียวก็ต้องหาที่หลบลมหนาว แอบเข้าร้านค้าที่มีฮีตเตอร์บ้าง เข้าร้านสะดวกซื้อบ้าง แต่ไม่ได้อะไรมานะแค่เข้าไปขอไอความร้อนหน่อย HOT PACK เอาไม่อยู่จริง ๆ ตอนแรกกะว่าจะหาอะไรกินกันที่นี่แต่เท่าที่ดูยังไม่โดนเท่าไหร่ เลยไปแถว อินซาดง ดีกว่าเผื่อมีอะไร


ที่นี่อยู่ไม่ห่างจาก หมู่บ้านบุกชน เท่าไหร่เรานั่งรถเมล์ออกมาจากหมู่บ้านที่เป็นเหมือนซอยออกมาแค่ป้ายเดียวแล้วเดินข้ามถนนมาก็ถึงเลย ในรูปนี้คือ  ซัมซีกิล (SSamziegil) เป็นเหมือนแหล่งช๊อปปิ้งเล็ก ๆ น่ารัก ๆ


อันนี้ภายในตึกตอนเรามาคิดว่าน่าจะเลยบ่ายโมงมาแล้วแต่คนไม่ค่อยมี อย่างที่บอกวันนี้อากาศหนาวมาก เท่าที่คุยกับ Elle เจ้าหน้าที่บ้านพักเค้าบอกว่าอุณหภูมิช่วงนี้ (ที่เราอยู่) ลดต่ำกระทันหันแบบแม้แต่คนเกาหลีเองก็ไม่รู้ตัว มีการออกข่าวกันเยอะเลย ประมาณว่าอากาศเพี้ยนไปแล้ว


เงี๊ยบ เงียบ หาไรกินกัน


แน่นอนว่าหมูย่างอีกแล้ว ร้านนี้ชอบสุดตั้งแต่กินมาเพราะมีใบงาร้านแรกเลยมั้ง ร้าน Cha.i.yaki
เจอจากในเน็ตลึกลับนิดนึง แต่คุ้ม




ร้านนี้เครื่องเคียงเยอะสุดเท่าที่กินมา


เตาย่างยังไม่ซ้ำกันเลยมั้ง


ข้าวที่นี่ใส่ในกระบอกไม้ไผ่ แล้วใส่ถ่านมาด้วย แปลกดี



เขียวๆ นี่แหละใบงา ว่ากันว่าถ้ากินหมูย่างมันมีไขมันไม่ดีอยู่เยอะ สารในใบงานี่แหละที่จะช่วยแปลงให้ไขมันไม่ดี กลายเป็นไขมันดี น้ำจิ้มหมูย่างที่นี่เลยมีพวกน้ำมันงาใส่กับเกลือเป็นน้ำจิ้มด้วย
  

ตอนแรกนึกว่าซุปกิมจิ แต่เค้าว่าเป็น บูแดจิเก (Budae jiigae) ซุปทหารอะไรประมาณนั้น


ตอนที่กินเสร็จเดินออกมาที่ถนนมาเจอรถมอเตอร์ไซด์ล้ม จะ ๆ ตา เลยเค้าลื่นไอ้ขาว ๆ ที่ถนนนั้นแหละ มันเป็นน้ำแข็ง


ต่อมาก็มาเดินเล่นย่อยอาหารกันที่ คลองชองเกชอน Cheonggyecheon Stream  (ชื่อเล่น คลองน้ำใส)


          คลองนี้มีที่มาตั้งแต่สมัยโบราณตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว ความยาวประมาณ 11 กิโลเมตร ไหลผ่านกลางกรุงโซล เค้าว่าน้ำในคลองจะคล้ายกับคลองแสนแสบที่บ้านเรา คือมีน้ำเสียและขยะถูกทิ้งลงคลองจากบ้านเรือนและชุมชนที่มาอาศัยอยู่ริมคลอง ภายหลังคลองนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่ในปี 2003 ภายใต้โครงการพัฒนาและบูรณะคลองชองกเยชอนให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม จนทำให้กลายเป็นคลองที่มีภูมิทัศน์รอบๆที่ร่มรื่นและสวยงาม น้ำที่เคยเน่าเสียก็กลับมาในสะอาด กลายเป็นแหล่งเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย จริง ๆ ไม่รู้อะไรหรอกไปลอกเค้ามาเล่าอีกที


อันนี้เป็นแลนด์มาร์กเลยแต่เหมือนไม่ค่อยดูแลกัน มีหญ้าขึ้นรกเลย


          เช่นเคยหนาวมาก ถึงมากที่สุดน้ำมูกไหลไม่ยอมหยุดและพอมาเห็นเค้าประดับไฟกันก็เลยอยากดูแต่ถ้าให้เดินจนมืดน่าจะแข็งตาย เราเลือกไปเดินเล่นในห้างที่เป็นร้านหนังสือ Kyobo Book Store ได้เครื่องเขียนมานิดหน่อย พอเริ่มมืดก็ออกมาแรดกันใหม่



          มันค่อนข้างสวยและอลังการดี แต่มีรูปน้อยเพราะเอามือออกจากกระเป๋าไม่ไหวจริง ๆ เดินได้ไม่ถึงครึ่งทางก็ต้องเข้าไปหลบอีกครั้ง คราวนี้ที่ ร้านโอซูล๊อก O'Sulloc เน้นชาเขียวเป็นของเด่นประจำร้าน มาต้องแวะอารมณ์ประมาณ สตาร์บั๊ค ราคาแรงใช้ได้ เดินเล่นไม่ถึงชั่วโมงแต่นั่งพักไปชั่วโมงกว่า เช็คอุณหภูมิดู แม่เจ้า -16 องศาแต่รู้สึกเหมือน -18 มิน่าหนาวโคตร ๆ เดินไม่ไหวจริง ๆ คิดถึงห้องพักขึ้นมาเลย กลับบ้านดีกว่าเนอะ วันนี้แทบไม่ได้ถ่ายรูปเอาเลยทั้ง ๆ ที่ได้ไปที่ ๆ เหมาะแก่การถ่ายรูปมาก ๆ


อย่างที่บอกว่าวันนี้เราจะมาจัดซักร้านในซอยที่เราเจอเมื่อวาน หลังจากเดินดูพักนึงเราเลือกร้านนี้จร้า ร้าน Hwaroya


ที่นี่ไม่ใช่หมูสด แต่เป็นแบบรมควัน ท่อนฟืนเต็มหน้าร้านเลย


ตู้นี้แหละที่ทำให้ขาเดินเข้าร้านเค้าเฉย





รมควันหอม ๆ แล้วก็มาย่างให้ร้อน ๆ


ตรงถั่วงอกที่เห็นใช้เป็นที่พักหมูตอนที่ย่างได้ที่แล้ว เพราะถ้าปล่อยไว้ข้าง ๆ เตาหมูมันจะแห้งไปเรื่อย ๆ ไม่ช่ำหมดความอร่อยไปเยอะ พึ่งมารู้เคล็ดลับเอาวันสุดท้ายนี่นะ


ร้านแถวนี้เหมือนเป็นร้านแบบมานั่งกิน นั่งดื่ม มากกว่าจะกินให้อิ่มเป็นมื้อ ๆ แต่ชอบนะแถวย่านนี้ส่วนใหญ่คิดว่าเราเป็นคนจีนอีกต่างหาก


อันนี้ไม่ค่อยเหมือนเมื่อเช้าแต่ก็ไม่ต่างมาก แต่เค้าเรียก ซุปกิมจิ ซะงั้น


หมูสามชั้นไม่อิ่ม จัดซี่โครงไปอีกชุด เนื้อน้อยไปหน่อยแทะไปแทบจะกระดูกล้วน ๆ ไม่แนะนำแต่ถ้าชอบก็จัดไป แล้วแต่

          หลังจากจบมื้อนี้ก็กลับไปนอนหลับฝันดี ตื่นมาตอนเช้าให้ Elle ช่วยเรียกแท็กซี่ให้ไปลงสถานีรถไฟหลักที่เรียกกันว่า โซลสเตชั่น เพื่อเดินทางไปสนามบิน เช่นเคยเธอใช้แอพเรียก โดยรวมแล้วรู้สึกว่าเที่ยวเกาหลี ที่โซล ไม่ลำบากเลยเที่ยวง่ายผู้คนก็น่ารักดีอาจเพราะเราเป็นคนมีอายุด้วยมั้ง เค้าเลยเกรงใจ (หรือเปล่า) ไม่แพงนะแค่ค่าเงินเค้ากับเราไม่เท่ากันแค่นั้นเอง แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราไม่ได้เดินทางตามแผนก็ได้เลยทำให้ค่าใช้จ่ายไม่เยอะ แต่ถ้ามากับทัวร์อาจจะคุ้มกว่าอิ่มทุกมื้อ เที่ยวทุกที่ ราคาประหยัด แต่ถามผู้ร่วมทริปตลอดชีวิตแล้ว เค้าชอบแบบที่เรามากันเองมากกว่า
          ขอบคุณที่ทนอ่าน ทนดูกันมา ไม่ค่อยเหมือนรีวิวซักเท่าไหร่เหมือนมาเล่าให้ฟังซะมากกว่า เพราะครั้งนี้เป็นการไปเกาหลีครั้งแรก เจอหิมะครั้งแรก หนาวสุดชีวิตครั้งแรก มีครั้งแรกหลาย ๆ อย่างที่นี่ประทับใจดีจนอยากมาอีกเพราะมันง่ายมากจริง ๆ สำหรับคนที่ติดตามถ้ายังไม่ได้ลองเดินทางเองลองดูได้นะและหวังว่าจะได้ความประทับใจแบบครั้งแรกที่ดีที่สุดไปเลย (พิมพ์เอง..งงเอง)

 ย้อนไปดูวันก่อน



วันที่ 3 หิมะตก ต้องไปกินปู
http://hawkof9.blogspot.com/2018/02/3.html 


วันที่ 4 เปลี่ยนที่พัก เที่ยววัง